วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

พรบ.สัตว์กับความเป็นเจ้าของ: สุนัขในมหาวิทยาลัยถือเป็น “สัตว์เลี้ยง” ในความรับผิดชอบหรือไม่?







พรบ.ป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ฯ พ.ศ.2557 มีผลใช้บังคับแล้ว

                พรบ. คุ้มครองสัตว์ หรือชื่อเต็มๆ พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถือว่ามีผลใช้บังคับแล้ว ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา

                เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก และเป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งแวดล้อม จึงควรได้รับการคุ้มครอง มิให้ถูกกระทำการทารุณกรรม และเจ้าของสัตว์
ซึ่งนำสัตว์มาเลี้ยง จะต้องจัดสวัสดิภาพให้เหมาะสมตามประเภทและชนิดของสัตว์ ทั้งในระหว่างการเลี้ยงดู การขนส่ง การนำสัตว์ไปใช้งาน หรือใช้ในการแสดง

                ดังนั้น เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อให้สัตว์ได้รับการคุ้มครองตามธรรมชาติของสัตว์อย่างเหมาะสม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ 

                สำหรับพระราชบัญญัติ ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557 มีเนื้อหาสาระสำคัญ ดังนี้




ช่องโหว่กฎหมาย ว่าด้วยความเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบ

                การให้ความหมายของคำต่างๆในมาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้ เป็นดังนี้

                “การจัดสวัสดิภาพสัตว์หมายความว่า การเลี้ยงหรือการดูแลให้สัตว์มีความเป็นอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม มีสุขภาพอนามัยที่ดี มีที่อยู่ อาหาร และน้ำอย่างเพียงพอ

                “เจ้าของสัตว์หมายความว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ และให้หมายความรวมถึงผู้ครอบครองสัตว์ หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแล ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้ดูแลด้วย

                ทว่าขอบข่ายของคำว่า “สัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของ” ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนนักว่าขอบข่ายแบบไหนคือความเป็นเจ้าของบ้าง แค่มาอยู่อาศัยในพื้นที่ มีข้าวมีน้ำให้กินถือว่าเป็นเจ้าของแล้วหรือไม่?

                ซึ่งถ้าหมายรวมถึงเช่นนั้นหมายความว่าสุนัขที่อาศัยอยู่ภายในบริเวณเขตของมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาคอยให้ข้าวให้น้ำ นับเป็น “สัตว์เลี้ยง” ที่นักศึกษา เจ้าหน้าที่และบุคลากรภายในมีหน้าที่ต้องดูแลรับผิดชอบสุนัขให้ได้รับสวัสดิการแบบสัตว์เลี้ยงตามข้อกฎหมายหรือไม่?

                โดยเฉพาะเมื่อสุนัขเหล่านั้นกัด ทำร้าย ทำอันตรายใดๆ ใครเข้าจนเป็นเหตุให้บาดเจ็บหรือมีทรัพย์สินเสียหาย มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องรับผิดชอบหรือไม่?






เลขาสภาทนายความชี้กฎหมายระบุไม่ชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญแย้งข้อบังคับใช้ไม่น่าเป็นปัญหา

                นายนิวัต แก้วล้วน เลขาธิการสภาทนายความ เผยว่า กฎหมายใช้คำว่า ผู้ใดครอบครองและเลี้ยงดูต้องดูว่าเลี้ยงดูเป็นประจำหรือไม่ ถ้าผ่านไปเป็นครั้งคราวแวะให้อาหารก็ยังพอที่จะปฏิเสธได้ แต่ถ้าก่อนไปทำงานเอาข้าวมาให้สุนัขตรงนี้กินทุกวัน ตอนเย็นก่อนกลับบ้านแวะเอามาให้กินมื้อเย็นอีก แบบนี้ก็จะเข้าหลักลักษณะเลี้ยงดู

                “กฎหมายใช้คำว่า ผู้ใดครอบครองมันก็ต้องไปตีประเด็นว่าขนาดไหนถือว่าเป็นการครอบครองสัตว์ ไม่ได้ใช้คำว่าเลี้ยงดูเป็นอาจิณ กฎหมายมันยังไม่ชัดเจน ผมเองก็ไม่กล้าฟันธง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าพื้นที่ตรงนี้มีใครมาให้อาหารเป็นประจำเลขาธิการสภาทนายความ กล่าว

                ขณะที่ เลขาธิการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย ให้ความเห็นกับเรื่องดังกล่าวว่า ผู้ที่ให้อาหารสุนัขจรจัดทั้งที่ไม่ใช่เจ้าของ ถือเป็นความมีเมตตา แต่อย่าไปทำให้ชุมชนเดือดร้อน เลอะเทอะ จะทำให้เกิดความขัดแย้งในชุมชนได้ เมื่อสุนัขไปทำร้ายคนอื่น ความผิดจะไม่ได้อยู่กับคนที่ให้อาหาร

                “หากการที่คนไปให้อาหารสัตว์และต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่สัตว์ได้กระทำกับคนอื่นๆ นั้น คนก็คงไม่กล้าให้อาหาร เพราะกลัวจะเป็นคนรับผิดชอบ สุนัขตามข้างถนนคงผอมแห้ง อดตาย ซึ่งคิดว่าประเทศไทยคงไม่มีทางจะปล่อยให้สัตว์เป็นแบบนั้นนายชัยชาญ เลาหศิริปัญญา เลขาธิการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย กล่าว














ที่มาข้อมูล:





อาชีวะขับเคลื่อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา





ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

               เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตและวีถีปฏิบัติที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแก่พสกนิกรชาวไทยมานานกว่า  30  ปี  ที่พระองค์ทรงเน้นย้ำแนวทางการพัฒนา  บนหลักแนวคิดพึ่งตนเองเพื่อให้เกิดความพอมีพอกิน พอใช้ ของคนส่วนใหญ่  โดยใช้หลักความพอประมาณ  การคำนึงถึงการมีเหตุผล  การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว และทรงเตือนสติประชาชนคนไทยไม่ให้ประมาท   ตระหนักถึงการพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนที่ถูกต้องตามหลักวิชา  และการมีคุณธรรมเป็นกรอบในการปฏิบัติและการดำรงชีวิต

               เนื่องจากการอาชีวศึกษาเป็นการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นการปฏิบัติเพื่อสร้างทักษะอาชีพให้กับผู้เรียนการจัดการศึกษาจึงมุ่งเน้นที่การบูรณาการสู่การปฏิบัติเป็นจิตพิสัยในแต่ละรายวิชาที่มีการบูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในส่วนของกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ต่อยอดจากการเรียนรู้ในชั้นเรียนและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนควรมุ่งเน้นการจัดการที่สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ

               1. พอประมาณกับศักยภาพของผู้เรียน พอประมาณกับภูมิสังคมของโรงเรียนและชุมชนที่ตั้งฝึกให้ผู้เรียนคิดเป็นทำเป็นอย่างมีเหตุผลและมีภูมิคุ้มกันในด้านต่าง ๆ โดยการดำเนินกิจการต้องนำไปสู่ความยั่งยืนของผล

               2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความรู้ อย่างรอบคอบ ระมัดระวัง ฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น  มีคุณธรรมมีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น อดทน มีความพากเพียร มีวินัย มีสัมมาคารวะรู้จักทำประโยชน์ให้กับสังคม ร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและสืบสานวัฒนธรรมไทย

                ส่วนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมุ่งเน้นผลที่เกิดขึ้นอย่างสมดุลและยั่งยืนมี4 มิติ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อมและด้านวัฒนธรรม



               สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดโครงการอบรมปฏิบัติการเตรียมความพร้อมพัฒนาสถานศึกษาเพื่อรองรับการประเมินสถานศึกษาพอเพียง เรียนรู้แนวทางการบริหารงาน และการพัฒนาสถานศึกษาพอเพียง ในสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาครัฐ 343 แห่ง และเอกชน 22 แห่ง รวม 610 คน ณ วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี






               ดร.ชาญเวช บุญประเดิม รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้ เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สถานศึกษาทุกแห่งที่ยังไม่ผ่านการประเมินเป็นสถานศึกษาพอเพียง ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงสู่สถานศึกษา ทบทวนเกณฑ์การประเมินสถานศึกษาพอเพียง และแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการบูรณาการหลักเศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการ เรียนการสอน โดยมีผู้บริหาร และครูแกนนำจากสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาครัฐ และเอกชนเข้าร่วมการอบรม

               ดร.ปรียานุช ธรรมปิยา ผู้อำนวยการศูนย์สถานศึกษาพอเพียง มูลนิธิยุวสถิรคุณ เป็นวิทยากรอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการขับเคลื่อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงสู่สถานศึกษา และแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาพอเพียง และทีมวิทยากรมาถ่ายทอดความรู้ในการนำเสนอแนวทางการบูรณาการการจัดการ อาชีวศึกษากับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการบริหารสถานศึกษาสู่การประเมินสถาน ศึกษาพอเพียง

               รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวต่อว่า กระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจน โดยมุ่งเน้นพัฒนาสถานศึกษาในการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนมีคุณลักษณะ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งเน้นการดำเนินชีวิตด้วยความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี และเรียนรู้ในการพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด โดยได้มีการประกาศนโยบายการขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงภาคการศึกษา เพื่อให้องค์กรหลัก หน่วยงาน และสถานศึกษา ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

ที่มา: http://www.vec.go.th









วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

จับทิศหลักสูตร "เรือสำราญ" พร้อมผลิตคนป้อนตลาดรับธุรกิจบูม


ข่าวรอบสัปดาห์






                โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) และท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) เป็นหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลที่ให้มีการวางแผนการดำเนินงานอย่างจริงจัง เพราะมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวทางน้ำของไทย นอกเหนือจากการหาพื้นที่เหมาะสมในการพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือ

                เพื่อกระตุ้นและสร้างความสนใจทั้งในและต่างประเทศผ่านการจัดงานมหกรรมเรือสำราญและมาริน่า หรือไทยแลนด์ ยอชต์ โชว์ 2016 เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ที่นอกจากจะเป็นการแสดงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทย ยังทำให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางมารีนาของอาเซียน (Thailand : Marina Hub of ASEAN)

                เพราะประเทศไทยมีท่าเทียบเรือยอชต์ 11 แห่ง กระจายอยู่ในบริเวณจังหวัดภูเก็ต, กระบี่, ตราด, ชลบุรี และประจวบคีรีขันธ์ แต่ไม่มีท่าเทียบเรือครุยส์เป็นการเฉพาะ โดยต้องเทียบท่าผ่านท่าเทียบเรือสินค้า เช่น ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต กระนั้นจากกำหนดการท่องเที่ยวด้วยเรือครุยส์ในปี 2558 ที่แจ้งไว้ล่วงหน้า พบว่ามีเรือครุยส์เข้ามาท่องเที่ยวในไทยอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จอดแวะพักที่ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบังเฉลี่ยประมาณ 2 วัน

                หากสแกนธุรกิจที่เชื่อมโยงกับเรือทั้งสองรูปแบบ มีทั้งท่าเทียบเรือ และธุรกิจอื่นอย่างร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม หรือเมื่อมองถึงบนเรือจะมีพนักงานแผนกต่าง ๆ เช่น พนักงานเสิร์ฟ พนักงานทำความสะอาด พนักงานในห้องครัว เป็นต้น เรียกได้ว่าธุรกิจเรือยอชต์และเรือครุยส์ต้องใช้กำลังคนจำนวนมาก เพื่อรองรับกับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง "ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และอยู่ในแวดวงดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจหรือสถาบันการศึกษาที่ต้องผลิตคนรองรับกับตลาดแรงงานที่มีความต้องการอย่างมาก



ค่าดูแลเรือ1 แสนบาท/เดือน

                "ธน ธราดลภาพ" ผู้จัดการ บริษัท ภูเก็ต โบ๊ท ลากูน จำกัด ฉายภาพให้เห็นถึงภาพรวมของธุรกิจท่าเทียบเรือของ จ.ภูเก็ตว่ามีเรือที่จอดเทียบท่าเดือนละประมาณ 1,000 ลำ จำนวนนี้มาจอดที่ภูเก็ต โบ๊ท ลากูนประมาณ 300 ลำ สัดส่วนเรือของคนต่างชาติและคนไทยอยู่ที่ 70 : 30 ซึ่งการจอดเรือแต่ละครั้งใช้ระยะเวลานาน โดยค่าจอดเรือเดือนละ 5 หมื่นบาท หากรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการดูแลเรือรวมแล้วประมาณ 1 แสนบาท/เดือน นอกจากเป็นท่าจอดเรือภูเก็ต โบ๊ท ลากูน ยังมีสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับผู้เดินทางกับเรือยอชต์ที่มาท่องเที่ยวในไทย

                เพราะบุคลากรของที่นี่มีไม่ต่ำกว่า 200 คน คาดการณ์ว่าอีก 5 ปีข้างหน้าต้องขยายเพิ่มเติมไม่ต่ำกว่า 500 คน โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับเรือยอชต์ถือว่าหาคนมาทำงานได้ยาก คนไทยมีองค์ความรู้ด้านนี้น้อยมาก เพราะคนไทยที่เล่นเรือยอชต์มีจำนวนน้อย และเรือส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ผมมองว่าภาครัฐควรสนับสนุนให้คนไทยมีความรู้ด้านเรือยอชต์ให้มากขึ้น พร้อมเสริมทักษะด้านภาษาอังกฤษให้แข็งแกร่ง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

                "สำหรับอัตราการเติบโตของบริษัทเฉลี่ยปีละ 5-10% ปัจจัยเกื้อหนุนคือเรื่องการท่องเที่ยวและกฎหมาย หากศุลกากรและกรมเจ้าท่าอนุญาตให้เรือต่างชาติสามารถอยู่ได้นานขึ้น จะส่งผลต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตอนนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ จ.ภูเก็ตมีการเปิดกฎหมายพิเศษส่งเสริมการท่องเที่ยวที่อนุญาตให้เรือยอชต์สามารถเข้ามาอยู่ในไทยนานขี้น ส่วนปัจจัยลบของธุรกิจนี้ไม่มี เพราะเราจับตลาดกลุ่มบน แม้จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเรือยอชต์ยังมีค่าใช้จ่าย เพราะต้องจอดเรืออยู่ โดยภูเก็ต โบ๊ท ลากูนมีแผนขยายไปเปิดท่าเทียบเรือแห่งใหม่ที่ จ.กระบี่ เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพ และยังไม่มีท่าเทียบเรือที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเราเป็นเจ้าแรกที่เข้าไปเปิดตลาดในพื้นที่นั้น"



เร่งปั้นช่างซ่อมบำรุงเรือ

                หนึ่งในอาชีพที่นับว่าเป็นที่ต้องการและเป็นสาขาซึ่งขาดแคลนคนในปัจจุบัน คือ ช่างซ่อมบำรุงเรือ ด้วยจำนวนเรือยอชต์ที่มีอยู่นับ 1,000 ลำ แต่สวนทางกับจำนวนผู้เรียนหรือสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนด้านนี้โดยตรงมีน้อยมาก สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะอาชีพช่างซ่อมบำรุงเรือเป็นงานที่หนัก อย่างไรก็ดี มีวิทยาลัยเทคนิคภูเก็ตซึ่งเป็นหนึ่งสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนด้านช่างซ่อมบำรุงเรือเพื่อป้อนคนให้กับตลาดแรงงาน

                "รุ่งทิวาสมรักษ์" อาจารย์หัวหน้างานสาขางานซ่อมบำรุงเรือ วิทยาลัยเทคนิคภูเก็ตบอกว่า เราเปิดทำการสอนหลักสูตรนี้มาตั้งแต่ปี 2549 มีการร่วมมือกับสถานประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 30 แห่ง ในการจัดทำหลักสูตรร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน โดยรับนักศึกษาปีการศึกษาละ 20 คน

                "เราจัดการศึกษาระบบทวิภาคี คือมีการเรียนรู้ด้านวิชาการในวิทยาลัยควบคู่ไปกับการฝึกงานจริงอย่างเข้มข้นในสถานประกอบการ โดยระดับ ปวช. 2 ภาคเรียนที่ 3-4 และระดับ ปวช.3 ภาคเรียนที่ 5 นักเรียนของเราจะเข้าไปฝึกงานกับสถานประกอบการที่มีความร่วมมือกับวิทยาลัย สำหรับการทำงานของนักเรียนจะมี 3 สถานี คือ สถานีงานตัวเรือ คานเรือ มาริน่า สถานีงานเครื่องยนต์เรือ และสถานีงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในเรือ"

                เมื่อนักเรียนเรียนจบระดับ ปวช. สามารถทำงานกับบริษัทซ่อมบำรุงเรือได้ทันที เพราะถือว่ามีทักษะและความรู้ความสามารถครบถ้วน รวมถึงมีประกาศนียบัตรจากสถานประกอบการการันตีมาตรฐานการทำงานของผู้เรียน โดยเงินเดือนแรกเข้าเริ่มต้นเดือนละ 12,000 บาท หรือหากต้องการศึกษาต่อเฉพาะทางในระดับ ปวส.สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเด็กระดับ ปวช.ที่เข้าสู่การเป็นช่างซ่อมบำรุงเรือมีเพียงปีละ 3-4 คนเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเรียนต่อระดับที่สูงขึ้น ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอต่อตลาดแรงงานที่มีความต้องการช่างซ่อมบำรุงเรืออย่างน้อยปีละ 100 คน




ที่มาข้อมูล:







วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

มนพ.มั่นใจยอดเด็กสายอาชีพปี 59 พุ่ง



ข่าวรอบสัปดาห์





               "ม.นครพนม" มั่นใจยอดเด็กเรียนสายอาชีพเพิ่มขึ้นแน่ในปี 59 หลังรัฐบาลประกาศให้นครพนมเป็นศูนย์กลางความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขงในเรื่อง อุตสาหกรรมและอาชีพ

               วันที่ 14 มี.ค.  ศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยนครพนม (มนพ.) เปิดเผยว่า มนพ. ถือว่ามีศักยภาพมาก เพราะเป็นสถาบันที่ควบรวมมาจากวิทยาลัยในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัยราชภัฎ แต่ในความเป็นจริงมหาวิทยาลัยกลับไม่ได้พัฒนาไปเท่าที่ควร จำนวนนักศึกษาที่มาเรียนก็ลดลง          ดังนั้น มนพ.ตั้งโจทย์จะพัฒนาด้านอาชีวศึกษาให้ดีกว่าสถาบันการอาชีวศึกษาทั่วไป

               เนื่องจากรัฐบาลประกาศชัดเจนให้จังหวัดนครพนม เป็นศูนย์กลางความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง 5 ประเทศ จึงต้องเร่งผลักดันเรื่องอุตสาหกรรมและอาชีพมากขึ้น อีกทั้งตนได้ย้ำกับผู้บริหาร อาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัยว่าจะต้องทำโครงการต่าง ๆภายในมหาวิทยาลัยให้เข้มแข็ง ต้องทำให้ทุกคนศรัทธาในมหาวิทยาลัย และต้องออกไปแนะแนวนักเรียนในโรงเรียนต่างๆ ให้รู้ว่ามหาวิทยาลัยมีดีอย่างไร เด่นวิชาการด้านไหน เพื่อนักเรียนและผู้ปกครองจะได้ตัดสินใจมาเรียนที่ มนพ.มากขึ้น

               ด้าน รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ ว่าที่อธิการบดี มนพ. กล่าวว่า ในปีการศึกษา 2559 มนพ.ตั้งเป้ารับนักศึกษาสายอาชีพหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เพิ่มอีก2,000คน จากตั้งไว้1,000คน และหลักสูตรปริญญา 1,500-2,000คน รวม 5,000 คน ซึ่ง มนพ.มั่นใจว่าจำนวนเด็กที่จะมาเรียน มนพ.จะเพิ่มขึ้นแน่นอน

               เพราะที่ผ่านมามนพ.ได้เข้าไปทำงานร่วมกับโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในพื้นที่ มากขึ้น โดยเข้าไปช่วยพัฒนากระบวนการเรียนการสอน ช่วยพัฒนาหลักสูตร เข้าไปแนะแนวการเรียนในมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังเปิดให้นักเรียนและผู้ปกครองได้เข้ามาดูการเรียนการสอนในคณะต่าง ๆของมหาวิทยาลัยด้วย เพื่อจะได้เห็นว่ามหาวิทยาลัยมีศักยภาพในการผลิตบัณฑิต โดยเฉพาะสายอาชีพน่าจะมีเด็กมาเรียนมากขึ้น เพราะจะเปิดให้เทียบโอนประสบการณ์และหน่วย     กิตอย่างเป็นระบบมากขึ้น ดังนั้นเด็กสามารถที่จะเลือกเรียนหรือทำงานก่อนก็ได้






                ส่วนในด้านหลักสูตรอาชีวศึกษาก็มีตัวเลือกอยู่หลากหลายและรองรับงานในสายอาชีพต่างๆ เมื่อเรียนจบไปมีดังนี้

                - หลักสูตรประกาศนียบัตรครูเทคนิคชั้นสูง (ปทส.)              
                - หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ
                - หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)                       
                - หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)

1. ประเภทวิชาอุตสาหกรรม           
2. ประเภทวิชาพาณิชยกรรม/บริหารธุรกิจ                        
3. ประเภทวิชาศิลปกรรม
4. ประเภทวิชาคหกรรม                       
5. ประเภทวิชาเกษตรกรรม                    
6. ประเภทวิชาประมง
7. ประเภทวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
8. ประเภทวิชาอุตสาหกรรมสิ่งทอ  
9. ประเภทวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

               
               


วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2559

อาชีวะไทย – เกาหลี ร่วมมือจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีสองชาติในประเทศไทย



ข่าวสารรอบสัปดาห์:

  



อาชีวะไทย – เกาหลี หาแนวทางการจัดตั้งวิทยาลัย/สถาบันเทคโนโลยีไทย – เกาหลี ในประเทศไทย

สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสาธารณรัฐเกาหลี ได้ดำเนินโครงการความร่วมมือ เพื่อจัดตั้งวิทยาลัย/สถาบันเทคโนโลยีไทย เกาหลี ในประเทศไทย ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดย Mr. Chang Soycอัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูตเกาหลี ประจำประเทศไทย Mrs. Yoon So Young ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาเกาหลี ประจำประเทศไทย และคณะ ได้เดินทางมาศึกษาดูงานการจัดการเรียนการสอนด้านอาชีวศึกษาของประเทศไทย ณ วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการคุณภาพการจัดการเรียนการสอนด้านอาชีวศึกษา โดยให้ประสานการทำงานร่วมกับประเทศที่มีชื่อเสียงด้านการจัดอาชีวศึกษา โดยเฉพาะสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งต้องศึกษาเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายหลักคือ การจัดอาชีวศึกษาของประเทศไทยให้ได้มาตรฐานเดียวกับการจัดอาชีวศึกษาของสาธารณรัฐเกาหลี






โดย นักเรียน นักศึกษาที่จบการศึกษาจะได้รับใบประกาศนียบัตรของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อสามารถทำงานได้ทั้งในประเทศไทย และสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ไม่ง่าย จึงเริ่มต้นดำเนินโครงการใน 2 แนวทาง ได้แก่ การจัดตั้งวิทยาลัย/สถาบันอาชีวศึกษาไทย เกาหลี เพื่อจัดการเรียนการสอนรูปแบบเดียวกับสาธารณรัฐเกาหลีเต็มรูปแบบทุกสาขาวิชา และการเปิดการเรียนการสอนอาชีวศึกษารูปแบบเกาหลีในบางสาขาวิชา    บางห้องเรียนในสถานศึกษาที่มีอยู่ ซึ่งแนวทางนี้จะทำได้ง่ายกว่า และดำเนินการได้ทันที

เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวต่อว่า การศึกษาดูงานครั้งนี้ เป็นการลงพื้นที่ดูสภาพจริงของการจัดอาชีวศึกษาของประเทศไทยใน 3 สถานศึกษา ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี วิทยาลัยเทคนิคสุรินทร์ และวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับการดำเนินโครงการในระยะต่อไป นอกจากนี้ ทาง สอศ. ก็จะเดินทางไปศึกษาดูงานการจัดการเรียนอาชีวศึกษาของสาธารณรัฐเกาหลีในช่วงเดือนมีนาคม 2559 นี้เช่นกัน












ที่มาข้อมูล: