ข่าวรอบสัปดาห์
โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht)
และท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) เป็นหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลที่ให้มีการวางแผนการดำเนินงานอย่างจริงจัง
เพราะมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวทางน้ำของไทย
นอกเหนือจากการหาพื้นที่เหมาะสมในการพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือ
เพื่อกระตุ้นและสร้างความสนใจทั้งในและต่างประเทศผ่านการจัดงานมหกรรมเรือสำราญและมาริน่า
หรือไทยแลนด์ ยอชต์ โชว์ 2016 เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
ที่นอกจากจะเป็นการแสดงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทย
ยังทำให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางมารีนาของอาเซียน (Thailand
: Marina Hub of ASEAN)
เพราะประเทศไทยมีท่าเทียบเรือยอชต์
11 แห่ง กระจายอยู่ในบริเวณจังหวัดภูเก็ต, กระบี่,
ตราด, ชลบุรี และประจวบคีรีขันธ์
แต่ไม่มีท่าเทียบเรือครุยส์เป็นการเฉพาะ โดยต้องเทียบท่าผ่านท่าเทียบเรือสินค้า
เช่น ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต
กระนั้นจากกำหนดการท่องเที่ยวด้วยเรือครุยส์ในปี 2558 ที่แจ้งไว้ล่วงหน้า
พบว่ามีเรือครุยส์เข้ามาท่องเที่ยวในไทยอย่างต่อเนื่อง
ส่วนใหญ่จอดแวะพักที่ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบังเฉลี่ยประมาณ 2 วัน
หากสแกนธุรกิจที่เชื่อมโยงกับเรือทั้งสองรูปแบบ
มีทั้งท่าเทียบเรือ และธุรกิจอื่นอย่างร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม
หรือเมื่อมองถึงบนเรือจะมีพนักงานแผนกต่าง ๆ เช่น พนักงานเสิร์ฟ
พนักงานทำความสะอาด พนักงานในห้องครัว เป็นต้น
เรียกได้ว่าธุรกิจเรือยอชต์และเรือครุยส์ต้องใช้กำลังคนจำนวนมาก
เพื่อรองรับกับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง "ประชาชาติธุรกิจ"
มีโอกาสพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และอยู่ในแวดวงดังกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจหรือสถาบันการศึกษาที่ต้องผลิตคนรองรับกับตลาดแรงงานที่มีความต้องการอย่างมาก
ค่าดูแลเรือ1
แสนบาท/เดือน
"ธน ธราดลภาพ"
ผู้จัดการ บริษัท ภูเก็ต โบ๊ท ลากูน จำกัด
ฉายภาพให้เห็นถึงภาพรวมของธุรกิจท่าเทียบเรือของ
จ.ภูเก็ตว่ามีเรือที่จอดเทียบท่าเดือนละประมาณ 1,000 ลำ จำนวนนี้มาจอดที่ภูเก็ต
โบ๊ท ลากูนประมาณ 300 ลำ สัดส่วนเรือของคนต่างชาติและคนไทยอยู่ที่ 70 : 30
ซึ่งการจอดเรือแต่ละครั้งใช้ระยะเวลานาน โดยค่าจอดเรือเดือนละ 5 หมื่นบาท
หากรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการดูแลเรือรวมแล้วประมาณ 1 แสนบาท/เดือน
นอกจากเป็นท่าจอดเรือภูเก็ต โบ๊ท ลากูน ยังมีสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
ให้กับผู้เดินทางกับเรือยอชต์ที่มาท่องเที่ยวในไทย
เพราะบุคลากรของที่นี่มีไม่ต่ำกว่า
200 คน คาดการณ์ว่าอีก 5 ปีข้างหน้าต้องขยายเพิ่มเติมไม่ต่ำกว่า 500 คน
โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับเรือยอชต์ถือว่าหาคนมาทำงานได้ยาก
คนไทยมีองค์ความรู้ด้านนี้น้อยมาก เพราะคนไทยที่เล่นเรือยอชต์มีจำนวนน้อย
และเรือส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ผมมองว่าภาครัฐควรสนับสนุนให้คนไทยมีความรู้ด้านเรือยอชต์ให้มากขึ้น
พร้อมเสริมทักษะด้านภาษาอังกฤษให้แข็งแกร่ง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ
"สำหรับอัตราการเติบโตของบริษัทเฉลี่ยปีละ
5-10% ปัจจัยเกื้อหนุนคือเรื่องการท่องเที่ยวและกฎหมาย
หากศุลกากรและกรมเจ้าท่าอนุญาตให้เรือต่างชาติสามารถอยู่ได้นานขึ้น
จะส่งผลต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตอนนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ
จ.ภูเก็ตมีการเปิดกฎหมายพิเศษส่งเสริมการท่องเที่ยวที่อนุญาตให้เรือยอชต์สามารถเข้ามาอยู่ในไทยนานขี้น
ส่วนปัจจัยลบของธุรกิจนี้ไม่มี เพราะเราจับตลาดกลุ่มบน แม้จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเรือยอชต์ยังมีค่าใช้จ่าย
เพราะต้องจอดเรืออยู่ โดยภูเก็ต โบ๊ท ลากูนมีแผนขยายไปเปิดท่าเทียบเรือแห่งใหม่ที่
จ.กระบี่ เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพ และยังไม่มีท่าเทียบเรือที่สมบูรณ์แบบ
ซึ่งเราเป็นเจ้าแรกที่เข้าไปเปิดตลาดในพื้นที่นั้น"
เร่งปั้นช่างซ่อมบำรุงเรือ
หนึ่งในอาชีพที่นับว่าเป็นที่ต้องการและเป็นสาขาซึ่งขาดแคลนคนในปัจจุบัน
คือ ช่างซ่อมบำรุงเรือ ด้วยจำนวนเรือยอชต์ที่มีอยู่นับ 1,000 ลำ
แต่สวนทางกับจำนวนผู้เรียนหรือสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนด้านนี้โดยตรงมีน้อยมาก
สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะอาชีพช่างซ่อมบำรุงเรือเป็นงานที่หนัก อย่างไรก็ดี
มีวิทยาลัยเทคนิคภูเก็ตซึ่งเป็นหนึ่งสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนด้านช่างซ่อมบำรุงเรือเพื่อป้อนคนให้กับตลาดแรงงาน
"รุ่งทิวาสมรักษ์"
อาจารย์หัวหน้างานสาขางานซ่อมบำรุงเรือ วิทยาลัยเทคนิคภูเก็ตบอกว่า
เราเปิดทำการสอนหลักสูตรนี้มาตั้งแต่ปี 2549
มีการร่วมมือกับสถานประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 30 แห่ง
ในการจัดทำหลักสูตรร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน
โดยรับนักศึกษาปีการศึกษาละ 20 คน
"เราจัดการศึกษาระบบทวิภาคี
คือมีการเรียนรู้ด้านวิชาการในวิทยาลัยควบคู่ไปกับการฝึกงานจริงอย่างเข้มข้นในสถานประกอบการ
โดยระดับ ปวช. 2 ภาคเรียนที่ 3-4 และระดับ ปวช.3 ภาคเรียนที่ 5
นักเรียนของเราจะเข้าไปฝึกงานกับสถานประกอบการที่มีความร่วมมือกับวิทยาลัย สำหรับการทำงานของนักเรียนจะมี
3 สถานี คือ สถานีงานตัวเรือ คานเรือ มาริน่า สถานีงานเครื่องยนต์เรือ
และสถานีงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในเรือ"
เมื่อนักเรียนเรียนจบระดับ ปวช.
สามารถทำงานกับบริษัทซ่อมบำรุงเรือได้ทันที
เพราะถือว่ามีทักษะและความรู้ความสามารถครบถ้วน รวมถึงมีประกาศนียบัตรจากสถานประกอบการการันตีมาตรฐานการทำงานของผู้เรียน
โดยเงินเดือนแรกเข้าเริ่มต้นเดือนละ 12,000 บาท
หรือหากต้องการศึกษาต่อเฉพาะทางในระดับ ปวส.สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบันเด็กระดับ ปวช.ที่เข้าสู่การเป็นช่างซ่อมบำรุงเรือมีเพียงปีละ 3-4 คนเท่านั้น
ส่วนใหญ่จะเรียนต่อระดับที่สูงขึ้น
ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอต่อตลาดแรงงานที่มีความต้องการช่างซ่อมบำรุงเรืออย่างน้อยปีละ
100 คน
ที่มาข้อมูล:
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น