วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

จับทิศหลักสูตร "เรือสำราญ" พร้อมผลิตคนป้อนตลาดรับธุรกิจบูม


ข่าวรอบสัปดาห์






                โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) และท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) เป็นหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลที่ให้มีการวางแผนการดำเนินงานอย่างจริงจัง เพราะมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวทางน้ำของไทย นอกเหนือจากการหาพื้นที่เหมาะสมในการพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือ

                เพื่อกระตุ้นและสร้างความสนใจทั้งในและต่างประเทศผ่านการจัดงานมหกรรมเรือสำราญและมาริน่า หรือไทยแลนด์ ยอชต์ โชว์ 2016 เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ที่นอกจากจะเป็นการแสดงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทย ยังทำให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางมารีนาของอาเซียน (Thailand : Marina Hub of ASEAN)

                เพราะประเทศไทยมีท่าเทียบเรือยอชต์ 11 แห่ง กระจายอยู่ในบริเวณจังหวัดภูเก็ต, กระบี่, ตราด, ชลบุรี และประจวบคีรีขันธ์ แต่ไม่มีท่าเทียบเรือครุยส์เป็นการเฉพาะ โดยต้องเทียบท่าผ่านท่าเทียบเรือสินค้า เช่น ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต กระนั้นจากกำหนดการท่องเที่ยวด้วยเรือครุยส์ในปี 2558 ที่แจ้งไว้ล่วงหน้า พบว่ามีเรือครุยส์เข้ามาท่องเที่ยวในไทยอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จอดแวะพักที่ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบังเฉลี่ยประมาณ 2 วัน

                หากสแกนธุรกิจที่เชื่อมโยงกับเรือทั้งสองรูปแบบ มีทั้งท่าเทียบเรือ และธุรกิจอื่นอย่างร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม หรือเมื่อมองถึงบนเรือจะมีพนักงานแผนกต่าง ๆ เช่น พนักงานเสิร์ฟ พนักงานทำความสะอาด พนักงานในห้องครัว เป็นต้น เรียกได้ว่าธุรกิจเรือยอชต์และเรือครุยส์ต้องใช้กำลังคนจำนวนมาก เพื่อรองรับกับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง "ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และอยู่ในแวดวงดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจหรือสถาบันการศึกษาที่ต้องผลิตคนรองรับกับตลาดแรงงานที่มีความต้องการอย่างมาก



ค่าดูแลเรือ1 แสนบาท/เดือน

                "ธน ธราดลภาพ" ผู้จัดการ บริษัท ภูเก็ต โบ๊ท ลากูน จำกัด ฉายภาพให้เห็นถึงภาพรวมของธุรกิจท่าเทียบเรือของ จ.ภูเก็ตว่ามีเรือที่จอดเทียบท่าเดือนละประมาณ 1,000 ลำ จำนวนนี้มาจอดที่ภูเก็ต โบ๊ท ลากูนประมาณ 300 ลำ สัดส่วนเรือของคนต่างชาติและคนไทยอยู่ที่ 70 : 30 ซึ่งการจอดเรือแต่ละครั้งใช้ระยะเวลานาน โดยค่าจอดเรือเดือนละ 5 หมื่นบาท หากรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการดูแลเรือรวมแล้วประมาณ 1 แสนบาท/เดือน นอกจากเป็นท่าจอดเรือภูเก็ต โบ๊ท ลากูน ยังมีสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับผู้เดินทางกับเรือยอชต์ที่มาท่องเที่ยวในไทย

                เพราะบุคลากรของที่นี่มีไม่ต่ำกว่า 200 คน คาดการณ์ว่าอีก 5 ปีข้างหน้าต้องขยายเพิ่มเติมไม่ต่ำกว่า 500 คน โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับเรือยอชต์ถือว่าหาคนมาทำงานได้ยาก คนไทยมีองค์ความรู้ด้านนี้น้อยมาก เพราะคนไทยที่เล่นเรือยอชต์มีจำนวนน้อย และเรือส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ผมมองว่าภาครัฐควรสนับสนุนให้คนไทยมีความรู้ด้านเรือยอชต์ให้มากขึ้น พร้อมเสริมทักษะด้านภาษาอังกฤษให้แข็งแกร่ง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

                "สำหรับอัตราการเติบโตของบริษัทเฉลี่ยปีละ 5-10% ปัจจัยเกื้อหนุนคือเรื่องการท่องเที่ยวและกฎหมาย หากศุลกากรและกรมเจ้าท่าอนุญาตให้เรือต่างชาติสามารถอยู่ได้นานขึ้น จะส่งผลต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตอนนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ จ.ภูเก็ตมีการเปิดกฎหมายพิเศษส่งเสริมการท่องเที่ยวที่อนุญาตให้เรือยอชต์สามารถเข้ามาอยู่ในไทยนานขี้น ส่วนปัจจัยลบของธุรกิจนี้ไม่มี เพราะเราจับตลาดกลุ่มบน แม้จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเรือยอชต์ยังมีค่าใช้จ่าย เพราะต้องจอดเรืออยู่ โดยภูเก็ต โบ๊ท ลากูนมีแผนขยายไปเปิดท่าเทียบเรือแห่งใหม่ที่ จ.กระบี่ เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพ และยังไม่มีท่าเทียบเรือที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเราเป็นเจ้าแรกที่เข้าไปเปิดตลาดในพื้นที่นั้น"



เร่งปั้นช่างซ่อมบำรุงเรือ

                หนึ่งในอาชีพที่นับว่าเป็นที่ต้องการและเป็นสาขาซึ่งขาดแคลนคนในปัจจุบัน คือ ช่างซ่อมบำรุงเรือ ด้วยจำนวนเรือยอชต์ที่มีอยู่นับ 1,000 ลำ แต่สวนทางกับจำนวนผู้เรียนหรือสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนด้านนี้โดยตรงมีน้อยมาก สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะอาชีพช่างซ่อมบำรุงเรือเป็นงานที่หนัก อย่างไรก็ดี มีวิทยาลัยเทคนิคภูเก็ตซึ่งเป็นหนึ่งสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนด้านช่างซ่อมบำรุงเรือเพื่อป้อนคนให้กับตลาดแรงงาน

                "รุ่งทิวาสมรักษ์" อาจารย์หัวหน้างานสาขางานซ่อมบำรุงเรือ วิทยาลัยเทคนิคภูเก็ตบอกว่า เราเปิดทำการสอนหลักสูตรนี้มาตั้งแต่ปี 2549 มีการร่วมมือกับสถานประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 30 แห่ง ในการจัดทำหลักสูตรร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน โดยรับนักศึกษาปีการศึกษาละ 20 คน

                "เราจัดการศึกษาระบบทวิภาคี คือมีการเรียนรู้ด้านวิชาการในวิทยาลัยควบคู่ไปกับการฝึกงานจริงอย่างเข้มข้นในสถานประกอบการ โดยระดับ ปวช. 2 ภาคเรียนที่ 3-4 และระดับ ปวช.3 ภาคเรียนที่ 5 นักเรียนของเราจะเข้าไปฝึกงานกับสถานประกอบการที่มีความร่วมมือกับวิทยาลัย สำหรับการทำงานของนักเรียนจะมี 3 สถานี คือ สถานีงานตัวเรือ คานเรือ มาริน่า สถานีงานเครื่องยนต์เรือ และสถานีงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในเรือ"

                เมื่อนักเรียนเรียนจบระดับ ปวช. สามารถทำงานกับบริษัทซ่อมบำรุงเรือได้ทันที เพราะถือว่ามีทักษะและความรู้ความสามารถครบถ้วน รวมถึงมีประกาศนียบัตรจากสถานประกอบการการันตีมาตรฐานการทำงานของผู้เรียน โดยเงินเดือนแรกเข้าเริ่มต้นเดือนละ 12,000 บาท หรือหากต้องการศึกษาต่อเฉพาะทางในระดับ ปวส.สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเด็กระดับ ปวช.ที่เข้าสู่การเป็นช่างซ่อมบำรุงเรือมีเพียงปีละ 3-4 คนเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเรียนต่อระดับที่สูงขึ้น ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอต่อตลาดแรงงานที่มีความต้องการช่างซ่อมบำรุงเรืออย่างน้อยปีละ 100 คน




ที่มาข้อมูล:







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น