วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ปรับมุมมองด้วยสื่อ ลบทิ้งความคิดเดิมๆเพื่ออนาคต


                จากข่าวในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าหน่วยงานต่างๆ เริ่มเล็งเห็นว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องหันมาให้ความสนใจกันเป็นพิเศษ เพื่อผลิตกำลังคนให้เกิดการพัฒนาในภายภาคหน้า ความเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดที่สุดคือการสนับสนุนเครื่องมือและปัจจัยต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้การเรียนอาชีวะศึกษาเป็นไปอย่างทัดเทียมกันกับการเรียนสายสามัญ






เดินหน้าเต็มกำลัง ยกระดับคุณภาพวิชาชีพ

               ในการจัดงาน “อาชีวศึกษาทวิภาคีไทย” ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานีที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีและได้พบปะกับคณะทำงานยกระดับคุณภาพวิชาชีพ

                ซึ่งนายกฯได้รับทราบความคืบหน้าพร้อมทั้งให้ข้อคิดว่าในการวางแผนยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาเรื่องแรงงาน ให้คิดวางแผนตลอดแนวอย่างครบวงจรเช่น ผลิตกำลังคนให้ตรงกับความต้องการทั้งของประเทศอาเซียนและประชาคมโลกดูอาชีพใหม่ๆ เพื่อสอนให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง โดยการตัดสินใจนั้นให้ตัวเองและประเทศก้าวหน้าโดยสันติสุข มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวหน้าเป็นหัวหน้างานหรือเจ้าของกิจการและให้เด็กอาชีวะได้ทำงานในประเทศไม่ใช่ไปทำงานต่างประเทศ เพราะมีรายได้สูงกว่า เป็นต้น                  

                ส่วนพล.อ.ดาว์พงษ์ มั่นใจว่าภายใน 1 ปีครึ่งจะเห็นผลงานของคณะทำงานประชารัฐ



                ทั้งนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่หลายหน่วยงานเริ่มลงมือเพื่อทำให้การศึกษามีความก้าวหน้าในอนาคต
                ทว่า เรื่องทัศนคติของสังคมสมัยนี้กับเด็กอาชีวะยังคงเป็นภาพลักษณ์ในทางลบเพราะเหตุใด?

                ในส่วนนี้ จะหยิบยกปัญหาค่านิยมของเด็กอาชีวะซึ่งมักเป็นปัญหาแรกที่กล่าวถึงกัน เพราะหลายคนติดภาพว่า เด็กอาชีวะคือเด็กเรียนไม่เก่ง ไม่มีความสามารถหรือไม่มีเป้าหมายในชีวิต นอกจากนี้ยังมีเรื่องภาพลักษณ์ความรุนแรงเช่นเดียวกัน  ขณะที่ผู้ปกครองเองก็ปลูกฝังความคิดส่งเสริมให้ลูกเรียนสายสามัญมากกว่าและมีความเชื่อว่าการเรียนอาชีวะจะต้องจบออกมาทำงานหนักเป็นลูกจ้างเท่านั้น

                อาจเป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนนั้น คนไทยปลูกฝังลูกหลานว่าจบมาให้เป็นเจ้าคนนายคน คนเลยเลือกเรียนปริญญาตรี ซึ่งแต่ก่อนมีคนเรียนจบน้อยและได้ทำงานเป็นข้าราชการกันเสียส่วนใหญ่ ด้วยความเชื่อในรูปแบบเดิมๆ หลายคนจึงอยากให้ลูกหลานได้ในสิ่งที่ดี ความรู้และความเชื่อแบบนี้จึงถูกถ่ายทอดกันมาอย่างยาวนาน

                ปัจจัยหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ “ การนำเสนอข่าวของสื่อไทย ” ที่พยายามบอกว่าปริญญาตรีเรียนแล้วดี อีกทั้งยังปลูกฝังความคิดเรื่องพวกนี้ลงไปในภาพยนตร์ ละครหรือแม้แต่หนังสือ






                ตัวละครเอกที่มีฐานะดีๆ เรียนอาชีวะช่างกลหรือเปล่าแทบจะไม่มีปรากฏให้เห็นในสื่อไทย ตัวเอกส่วนใหญ่ที่เป็น คนดีมักจะหน้าตาดี รวย และต้องจบปริญญาทั้งนั้น (ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ) ส่วนคนที่เรียนปวช.หรือช่างกลอาชีวะทั้งหลายกลับเป็นตัวร้าย ตัวโกงหรือคนจนในเรื่อง (ที่มักถูกดันให้เป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น)

                สื่อเขียนพล๊อตไม่ต่างจากนี้ซ้ำๆ กันเป็นเวลาหลายๆ สิบปีจนปลูกฝังเป็นภาพจำส่งผลโดยตรงต่อความคิดของผู้คน

                อีกทั้งยังเข้าทางสื่อที่จะขายข่าว โดยการนำข่าวเด็กอาชีวะทะเลาะวิวาทมาเสนอตามที่สังคมเชื่อว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างมักง่าย สร้างภาพจำเรื่องอุปนิสัยรุนแรงป่าเถื่อนมากขึ้นไปอีก ส่วนข่าวดีๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเด็กสายอาชีวะชนะการแข่งขันหรือเป็นตัวแทนประเทศไทยไปสร้างชื่อเสียงกลับไม่ถูกให้ความสนใจหรือถ่ายทอดออกมามากเท่าที่ควร

                กลายเป็นว่าสื่อกำลังชี้นำให้สังคมมองเด็กเหล่านี้ผิดไปหรือเปล่า?






                จากการสัมภาษณ์นายบุญสิทธิ์ อยู่ถาวร เด็กอาชีวะวิทยาลัยเทคนิคท่าหลวงซิเมนต์ไทยอนุสรณ์ เล่าว่า หลายคนมองภาพลักษณ์เด็กอาชีวะเเบบนั้นก็เพราะทุกวันนี้ในสื่อต่างๆ ต้องการถ่ายทอดออกมาเพื่อขายข่าว แต่ความจริงแล้วอาชีวะมีค่ายพัฒนาต่างๆ ที่มีประโยชน์และมีกิจกรรมอาสาที่ช่วยเหลือสังคมอยู่มากมายเช่น รับของเสียมาซ่อมให้โดยไม่คิดเงิน มีโรงงานให้เด็กได้ฝึกทำงาน  จนไปถึงการเเข่งขันระหว่างวิทยาลัยในภูมิภาคเพื่อฝึกประดิษฐ์และพัฒนากลไกสิ่งของต่างๆ จากความรู้ที่ได้เรียนมา


                การจัดงานอาชีวศึกษาทวิภาคีไทยที่ออกมานั้น บอกได้ถึงการเล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการสร้างค่านิยมและแรงจูงใจให้เด็กมาเรียนอาชีวะมากขึ้น หรือการผลิตผู้เรียนอาชีวะในสาขาที่ขาดแคลนให้ปริมาณเพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ เพื่อทำให้อาชีวะมีความเป็นสากลและมีความร่วมมือกับต่างประเทศ

                แท้จริงแล้วอาชีวะไม่ได้สำคัญน้อยกว่าปริญญาตรี ปริญญาโทหรือปริญญาเอก วิชาชีพเป็นเรื่องสำคัญ อยู่ที่ว่าจะขับเคลื่อนไปทางไหน ใช้คนแบบไหน วิชาชีพอะไรและสื่อจะเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งในการทำให้ผู้คนได้รับรู้ข่าวสารทั้งในด้านดีหรือด้านลบเองก็ตามเพื่อความเป็นไปในสังคม

                 แม้การเปลี่ยนสิ่งเดิมๆ ที่เคยรับรู้มานั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การทำให้เกิดการรับรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อผลักดันให้กลุ่มอาชีวะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในภายภาคหน้าก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินกว่าจะเริ่มลงมือทำ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น