ข่าวการศึกษา-อาชีวศึกษายังคงเป็นที่น่าติดตามในรอบสัปดาห์นี้
เพราะมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัดจากการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว)พ.ศ.2557
ลงนามในคำสั่งคสช.ที่ 8/2559 รวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชนทั่วประเทศมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)
โดยมีผลไปเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
นับว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกที่จะทำให้การปฏิรูปการศึกษาและการบริหารจัดการสถานศึกษาอาชีวะภาคเอกชนเกิดความต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ
มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการในการรวมการบริหารจัดการสถานศึกษาอาชีวศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้มีคุณภาพได้มาตรฐานและมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
“ชัยพฤกษ์” ยัน “อาชีวะเอกชน” บริหารงานอิสระ เร่งถ่ายโอน งบ-งาน
ตั้ง “อาชีวศึกษาจังหวัด” ดูแล สอศ.นัดถกผู้บริหารอาชีวะทั่วปท.
19 ก.พ.
ความคืบหน้าล่าสุด นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า จากการหารือกับผู้แทนจากสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคเอกชน อาชีวศึกษาภาครัฐและผู้แทนจากสพฐ. เกี่ยวกับการบริหารจัดการ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะคสช. ที่ให้รวมอาชีวศึกษาภาครัฐและภาคเอกชนนั้นตนเองบอกที่ประชุมไปว่า เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว เพราะจะทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกัน พัฒนาไปด้วยกัน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการศธ. ทั้งการสร้างแรงจูงใจ การปรับภาพลักษณ์ผู้เรียน การเดินหน้าสร้างวิทยาลัยอาชีวศึกษาเฉพาะทาง และการพัฒนาอาชีวศึกษาสู่สากล
โดยสถาบันอาชีวะเอกชน จะยังมีความอิสระในการบริหารจัดการ ภายใต้พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนเช่นเดิม ขณะที่สอศ.จะทำหน้าที่เหมือนที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.)เคยทำ คือส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาของอาชีวะเอกชน ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องการใช้ทรัพยากรร่วมกันทั้งงบประมาณและบุคลากร
นายชัยพฤกษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนเป้าหมายในการเพิ่มยอดผู้เรียนสายอาชีวะกับสายสามัญ เป็น 48:52 นั้น จะมีการหารือถึงแนวทางดำเนินการวันที่ 19 กุมภาพันธ์ โดยสอศ.จะมอบหมายให้แต่ละจังหวัดดูแลในเรื่องการรับนักเรียน นักศึกษาภายในจังหวัดให้เหมาะสมต่อไป
ที่มา: “ชัยพฤกษ์”ยัน “อาชีวะเอกชน” บริหารงานอิสระ
จากข่าวในรอบสัปดาห์ มีสถานศึกษาอาชีวศึกษาหลายแห่งได้ออกมาแสดงความคิดเห็น
มีทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยและรอดูความคืบหน้าต่อไป เพราะการปรับเปลี่ยนอย่างกะทันหันนี้ส่งผลกระทบต่อตัวนักเรียน นักศึกษาโดยตรง
หากทางภาครัฐสามารถทำออกมาได้ดี ตัวเด็กเองก็จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด
อาชีวะเอกชนเชียงใหม่เห็นด้วย
ย้ายสังกัดตามม.44 ชี้เป็นผลดี ไม่กระทบ-ได้ใช้หลักสูตรเดียวกัน
วันที่
13 กุมภาพันธ์ 2559
นายไพบูลย์ วงศ์ยิ้มย่อง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่
ในฐานะประธานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จ.เชียงใหม่ เผยว่าเห็นด้วยและเป็นผลดีต่ออาชีวศึกษาเอกชน
ที่เปิดสอนระดับปวช.และปวส. เนื่องจากใช้หลักสูตรเดียวกัน
ไม่มีผลกระทบต่อการเรียนการสอน ส่วนการบริหารจัดการอาชีวะเอกชนยังเป็นเอกเทศ เพียงแต่มาอยู่ในการกำกับดูแลของสอศ.เท่านั้น
ไม่มีปัญหาอะไร
“เชียงใหม่ มีอาชีวศึกษาของรัฐ 8 แห่ง เอกชน อีก 14
แห่ง รวมเป็น 22 แห่ง มีนักศึกษากว่า 30,000
คน ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนในเชียงใหม่ ได้ประชุมหารือกันมากว่า
6 เดือนแล้ว ซึ่งผู้บริหารอาชีวศึกษาเอกชนพอใจที่ย้ายมาอยู่ในกำกับดูแล
สอศ. แทน ทำให้แผนพัฒนาการศึกษาอยู่ในทิศทางเดียวกัน
และมาตรฐานการศึกษาเท่าเทียมกัน ผลิตนักศึกษาเพื่อสนองตอบความต้องการแรงงาน เป็นที่ยอมรับของสังคม”
นายไพบูลย์กล่าว
เอกชนเมืองคอนเตือนใช้ ม.44 ยุบ ‘อาชีวะ’ เร็วเกินระวังล้ม ถามรัฐแน่ใจพร้อมแล้ว
ดร.ณัฐวุฒิ
ภารพบ นายกสมาคมส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดนครศรีธรรมราช ในฐานะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เปิดเผยถึงการใช้ ม.44 ยุบ “อาชีวะเอกชน”
ขึ้นตรงกับกระทรวงศึกษาธิการว่า เรื่องนี้มีการพูดมานานแล้ว
ทางสมาคมฯทุกพื้นที่ก็ทราบเรื่องและมีการเตรียมความพร้อมมานานพอสมควร
การที่ให้อาชีวศึกษาเอกชนเข้าไปอยู่การดูแลของอาชีวศึกษาของรัฐจะมีข้อดีมากกว่า เนื่องจากจะได้ปฎิบัติตามนโยบายให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
อีกทั้งงานด้านวิชาการก็จะเพิ่มคุณภาพมากขึ้น นักเรียน นักศึกษาก็จะได้รับ อานิสงโดยตรงและมีความทัดเทียมกัน
“ สิ่งที่ห่วงในเวลานี้ก็คือตัวรัฐเองพร้อมรับตามหรือไม่ และหากยังไม่พร้อมรับก็จะเกิดปัญหาตามมา
เพราะความไม่พร้อมทั้งผู้รับและผู้ส่งยิ่งจะทำให้เกิดความไม่รู้ ดังนั้นการโอนในวันนี้อย่างรวดเร็วทุกภาคส่วนทันรับหรือไม่”
ส่วนดร.สุวิทยา
บริบูรณ์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสถาปัตย์นครศรีธรรมราช กล่าวว่าตนยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนว่า
เป็นอย่างไร จะตอบว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตอบไม่ได้
เพราะอะไรที่มาเร็วก็ไปเร็ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ดี ต้องดูว่าเป็นไปตามความต้องการเดิมของพวกเราหรือไม่
ไม่ใช่เป็นเพียงว่าโอนอาชีวะเอกชนไปขึ้นกับอาชีวะของรัฐ เป็นเพียงโครงสร้างเท่านั้น
แต่รายละเอียดย่อยก็ยังไม่มีความพร้อมก็อาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้อีก
การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้อาจจะค่อยๆ
เป็นรูปเป็นร่างและต้องใช้ระยะเวลาในการรอดูผลลัพธ์ที่จะตามมา
แม้อาจจะมีหลายจุดที่ยังต้องหารือและร่วมปรึกษากับอีกหลายหน่วยงาน
โดยเฉพาะความพร้อมของสอศ.ในการเปลี่ยนผ่าน
งบประมาณ ไปจนถึงการบริหารจัดการอื่นๆ แต่การรวมอาชีวศึกษาภาครัฐและภาคเอกชนเข้าด้วยกัน
ก็เป็นอีกหนึ่งการพัฒนาเพื่อผลิตกำลังแรงงานที่มีทักษะฝีมือตอบสนองความต้องการของประเทศและขับเคลื่อนหัวใจอุตสาหกรรมหลักของประเทศได้อย่างดี
ช่วยก่อให้เกิดความร่วมมือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนทรัพยากรหรือองค์ความรู้ระหว่างกันได้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา อีกทั้งปัญหาการทะเลาะวิวาทในช่วงนี้ลดลงค่อนข้างมาก ถือเป็นการปรับมุมมองและภาพลักษณ์เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอื่นๆ ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น