วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ติดตามคำสั่งคสช. ควบรวมอาชีวะรัฐ-เอกชน








                ติดตามกันต่อกับสถานการณ์ความคืบหน้าและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสถาบันอาชีวศึกษา ภายหลังการประกาศใช้คำสั่งคสช.ที่ 8/2559 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) รวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชนทั่วประเทศมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาและการบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการเกิดประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

                ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เดินหน้าจัดประชุมชี้แจงขั้นตอนการรวมสถานศึกษากับผู้บริหารต่างๆ พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์เตรียมการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายหลังการควบรวม







สอศ.ประชุมการบริหารจัดการรวมอาชีวศึกษาภาครัฐและเอกชน

                วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เชิญผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ กว่า 1,000 คน เข้าร่วมประชุมชี้แจงขั้นตอนการรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาตามคำสั่งของ คสช. ที่วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี

                พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า นับจากนี้จะต้องมีการ Rebranding ภาพของการศึกษาอาชีวะ ทั้งนี้เห็นว่าการควบรวมอาชีวะภาครัฐกับเอกชนร่วมกันจะเกิดผลดีต่อการยกระดับคุณภาพการศึกษา แต่การควบรวมนี้ไม่ได้หมายความว่าอาชีวะเอกชนเป็นของรัฐ เพียงแต่เปลี่ยนหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแลจาก สช.เป็น สอศ. เท่านั้น

                ในปีการศึกษา 2559 สอศ.กำหนดสัดส่วนรับนักเรียนสายอาชีพต่อสายสามัญอยู่ที่ 42 ต่อ 58 โดย 42% ของอาชีวะทั้งอาชีวะรัฐและเอกชนในจังหวัดต้องวางแนวทางส่งต่อเด็กร่วมกัน เนื่องจาก พบว่า มีนักเรียน 7% ที่จบ ม.3 แล้วไม่เรียนต่อ แต่เข้าสู่ตลาดแรงงาน สอศ.จะไปจูงใจให้เด็กกลุ่มนี้มาเรียนสายอาชีพมากขึ้นหลังจากมีการควบรวมอาชีวศึกษาภาครัฐ-เอกชน สอศ.จะมีวิทยาลัยอาชีวะอยู่ในกำกับดูแลทั้งสิ้น 886 แห่ง และมีนักเรียนสิ้น 976,615 คน แบ่งเป็น วิทยาลัยอาชีวะรัฐ จำนวน 425 แห่ง นักศึกษา 674,113 คน และวิทยาลัยอาชีวะเอกชนจำนวน 461 แห่ง นักศึกษา 302,502 คน

                พลเอก ดาว์พงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า วิทยาลัยอาชีวะแต่ละที่ควรมีความถนัดเฉพาะทาง ไม่ซ้ำซ้อน แล้วให้เด็กเลือกตามความถนัดของตนเอง อาชีวะทั้งส่วนกลางและในระดับจังหวัดต้องมาระดมสมองร่วมกันเพื่อหาจุดอ่อนและจุดแข็งของแต่ละฝ่าย วางแผนการรับนักเรียน นักศึกษาร่วมกัน สร้างความเป็นเลิศแต่ละด้านในสถานศึกษา ไม่ต้องแยกเด็กกันและช่วยกันประคับประคองไม่ให้ต้องปิดตัวลง เพราะเป้าหมายจริง ๆ คือ รัฐต้องการสร้างให้เอกชนมีความเข้มแข็งเพื่อแบ่งเบาภาระในการจัดการเรียนการสอน และเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนสายอาชีวศึกษาให้มากขึ้น เพื่อผลิตกำลังคนที่มีทักษะฝีมือให้เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ






มึนอาชีวะเอกชน 59% มี น.ร.ต่ำ 500 คน สอศ.ห่วงทยอยปิดตัว-เล็งว.รัฐรับจำกัด

                นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจข้อมูลผู้เรียนในสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน 461 แห่ง พบว่า มีผู้เรียนทั้งระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) รวม 287,184 คน ขณะที่สถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐมี 425 แห่ง น้อยกว่าสถานศึกษาเอกชน แต่กลับมีผู้เรียนทั้งระดับ ปวช.และ ปวส.รวม 670,457คน

                เมื่อจำแนกสถานศึกษาเอกชนตามจำนวนนักเรียน พบว่า 276 แห่ง คิดเป็น 59% ของสถานศึกษาเอกชนทั้งหมด มีผู้เรียนน้อยกว่า 500 คน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องแก้ไขปัญหา เพราะหากปล่อยไว้สถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชนอาจต้องปิดตัวลง โดยเฉพาะสถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนน้อยมากๆ

                นายชัยพฤกษ์กล่าวว่า ตนมอบหมายให้สำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ไปวิเคราะห์ตัวเลขที่เหมาะสม ว่าวิทยาลัยอาชีวะ 1 แห่ง ควรจะต้องมีผู้เรียนขั้นต่ำกี่คนจึงจะอยู่รอด โดยจะไม่ใช้แนวทางการยุบรวมวิทยาลัยที่มีผู้เรียนน้อย แต่จะหาวิธีเพิ่มผู้เรียนในวิทยาลัยที่มีเด็กน้อย โดยแนวทางหนึ่งที่จะแก้ปัญหานี้คือการจำกัดจำนวนการรับเด็กในวิทยาลัยอาชีวะรัฐ เพื่อเกลี่ยเด็กให้วิทยาลัยเอกชนมากขึ้น การเปิดห้องเรียนสาขา โดยให้วิทยาลัยอาชีวศึกษาทั้งรัฐ และเอกชน ที่มีชื่อเสียง และมีศักยภาพ เปิดห้องเรียนสาขาในวิทยาลัยอาชีวะที่มีผู้เรียนน้อย พัฒนาให้เป็นวิทยาลัยเฉพาะทาง







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น